0

Traveloka TH

21 Feb 2019 - 7 min read

“บ้านจ่าโบ่” สัมผัสอากาศหนาว กินนอนโฮมสเตย์ เช้าดูทะเลหมอก

เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี มันต้องเข้าสู่หน้าหนาวใช่มั้ยล่ะ แต่คนกรุงเทพฯ อย่างเราๆ ไม่ได้สัมผัสอากาศหนาวๆ มาหลายปีแล้ว จึงเกิดเป็นทริปนี้ขึ้นมา โดยมีโจทย์ที่ว่า อยากเจออากาศหนาว อยากดูทะเลหมอก แล้วก็อยากนอนโฮมสเตย์ด้วย ค้นหารีวิวนู่นนี่หลายที่ สุดท้ายมาจบที่ บ้านจ่าโบ่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมืองแห่งโค้งนับพันนั่นเอง

บ้านจ่าโบ่ ชื่อของชุมชนชาวเขาแห่งหนึ่งบนดอยสูง ในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวลาหู่ที่โยกย้ายถิ่นฐานมาจากห้วยยาว นำโดย นายจ่าโบ่ ไพรเนติธรรม เลยเป็นที่มาของชื่อชุมชนแห่งนี้ เมื่อมีนักท่องเที่ยวเริ่มรู้จักและเดินทางแวะเวียนมามากขึ้น จึงได้มีการจัดตั้งการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยเปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบชาวเขาลาหู่

การเดินทาง ถ้าอยากสัมผัสถึงเมืองแห่งพันโค้งอย่างแท้จริง แนะนำให้ใช้บริการรถทัวร์ โดยมีผู้ให้บริการ อย่าง “สมบัติทัวร์” มีรอบตารางเดินรถตั้งแต่ช่วง 5 – 6 โมงเย็น จะขึ้นรถที่ขนส่งหมอชิต หรือ ศูนย์บริการถนนวิภาวดีก็ได้ เราจองเป็นแบบรถนอนแอร์ชั้น 2 ราคา 788 บาท มีผ้าห่ม ของว่างให้ ช่วง 5 ทุ่มกว่าๆ จอดแวะทานข้าวต้มด้วย ถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนอีกทีก็เช้าของอีกวันเลย แต่...รถนอนก็เหมือนไม่ได้นอนอะ อย่างที่บอกโค้งมันเยอะๆๆๆๆ มากจริงๆ เล่นเอานอนไม่หลับเลยทีเดียว ใครเมารถต้องมีอ้วกแน่ๆ แต่...(แต่เยอะเหลือเกิน) วิธีการเดินทางที่สะดวกมากอีกหนึ่งวิธีก็เครื่องบินไง จะเลือกบินตรงมาลงแม่ฮ่องสอนเลย หรือลงเชียงใหม่แล้วต่อรถมาแม่ฮ่องสอนอีกทีก็ได้ เจอโค้งเหมือนกันแต่คงน้อยกว่ารถทัวร์วิ่งตรงจากกรุงเทพฯหลายเท่าแน่นอน จองตั๋วเช็คราคาง่ายๆกับ Traveloka ได้เลย ไม่ต้องเข้าหลายแอปหลายเว็บเช็คเทียบให้เสียเวลา เข้า Traveloka ที่เดียวจบ

หลังจากเข้าถึงสัมผัสแห่งพันโค้งแล้ว ถามว่าเมื่อคืนหลับมั้ย ตอบว่านอนไม่หลับจริงๆ เรามาถึงขนส่งแม่ฮ่องสอน ประมาณ 9 โมงกว่า ลงรถ เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ให้พี่วินไปส่งที่ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ที่อยู่ในละแวกนั้น โดยทริปนี้เรายังเลือกที่จะเป็น “วิถีไบค์เกอร์” อีกเช่นเคย ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์วันละ 300 บาท มัดจำอีก 1,500 บาท ที่ร้านมีขายอาหารตามสั่ง ข้าวซอย ขนมจีนน้ำเงี้ยว ก๋วยเตี๋ยวด้วย กินมื้อเช้าซะที่นั่นเลย

เราแว๊นมอเตอร์ไซค์จากตัวเมืองมาถึงบ้านจ่าโบ่ ใช้เวลาไปประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า โค้งเยอะ ทางชัน มันส์ดี ขับขี่ระวังๆหน่อยละกัน มีจอดแวะพักระหว่างทางด้วย ทางที่ขี่รถมาอากาศค่อนข้างเย็นถึงขั้นหนาวเลยแหละ ใครแพลนมาว่าจะขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยว ก็เตรียมใส่ขายาว เสื้อกันหนาวกันลม มาให้พร้อมเลยละกัน พอถึงที่หมายเราติดต่อ “พี่ศรชัย” ประสานเรื่องโฮมสเตย์ แจ้งว่าจะมีเจ้าของบ้านมารับเข้าบ้าน ส่วนจะได้บ้านหลังไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า หลังไหนว่าง หลังไหนรองรับได้กี่คน ค่าใช้จ่าย คิดราคาหัว 300 บาท รวมอาหารมื้อเย็น 1 มื้อ (ทราบมาว่ารายได้ส่วนหนึ่งนำมาพัฒนาชุมชนด้วยนะ ได้มาเที่ยว แล้วยังมีส่วนช่วยพัฒนาชุมชนด้วย เป็นไงล่ะ"เที่ยวไทยเท่"มั้ยล่ะคุณ)

หลังจากเก็บของ เข้าบ้าน ภายในบ้านก็เรียบง่ายสไตล์ชาวบ้าน มีที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่มให้ นั่งพักเหนื่อย อาบน้ำอาบท่าหลังจากดองมาตั้งแต่เมื่อวาน ขอบอกว่าน้ำอย่างเย็นอะ เหมือนเอาน้ำในตู้เย็นมาอาบชัดๆ ทำใจอยู่นานกว่าจะตักน้ำราดตัวได้ ราดทีชาไปทั้งตัว อาบน้ำแต่งตัวเสร็จซักแปบ ก็ได้เวลาออกไปสำรวจพื้นที่กันซักหน่อย

ที่พักอาศัยของชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ปลูกสร้างแบบง่ายๆ อาศัยวัสดุที่หาได้จากธรรมชาติภายในพื้นที่ การหุงหาอาหารก็ใช้วิธีก่อเตาฟืน ภาษาที่ใช้ก็ยังคงใช้ภาษาถิ่นของลาหู่ เครื่องแต่งกายนิยมใส่สีดำกันเป็นหลัก เป็นความเชื่อของชนเผ่าว่า สีดำเป็นสีศักดิ์สิทธิ์

ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังวิวดีประจำชุมชนบ้านจ่าโบ่ นอกจากก๋วยเตี๋ยวก็ยังมีกาแฟด้วยนะ ราคาแค่ชามละ 35 บาท อร่อยดีแถมมีวิวหลักล้านให้ดูอีกด้วย

ร้านกาแฟเด็กดอย ร้านนี้อยู่ติดกับโฮมสเตย์หลังที่เรานอนเลย มีทั้งชา กาแฟ นม ทั้งร้อนทั้งเย็น วิวดีอีกเช่นกัน

หลังจากกินก๋วยเตี๋ยว กาแฟ รองท้องเรียบร้อยก็เดินย่อยต่อซักแปบเก็บท้องไว้สำหรับมื้อเย็น ก่อนจะเข้าที่พัก

และนี่คืออาหารเย็นของเรา เรียบง่ายแต่อร่อยมาก เห็นตอนที่เค้าทำอาหาร มีไปเด็ดพริกสดๆจากต้นข้างบ้านเลย ส่วนรายการอาหารก็มี ผัดยอดฟักแม้ว ไข่เจียว ละก็น้ำพริกอะไรไม่รู้ๆแค่อร่อย ว่าจะถามสูตรก็ลืม

ยิ่งเย็นยิ่งมืดอากาศยิ่งหนาว แถมบ้านหลังที่เราอยู่ฝั่งวิวภูเขาไม่มีผนังกั้น open-air แบบลมเข้าได้เต็มๆ หนาวสุดๆไปเลย แต่ก็นะ ตั้งใจมาตามหาอากาศหนาวๆนิ ก็ได้เจอละไง สมใจแล้วสิ แต่บ้านไม่มีผนัง มันก็เกินคาดไง 555

ตื่นเช้าตี 5 เรามีนัดจะขึ้นไปดูทะเลหมอกกันที่ ภูผาหมอกเป็นจุดชมวิวแบบ 360 องศา เราจะไปดูทะเลหมอก กับรอชมพระอาทิตย์ขึ้นกันบนนั้น มีไกด์ท้องถิ่นนำทางให้ ค่านำทางคนละ 100 บาท คนนำทางก็คือชาวบ้านในชุมชนนี่แหละ เมื่อวานเราแจ้งทางเจ้าของบ้านไว้แล้วว่าอยากขึ้นภูไปดูหมอก เค้าเลยติดต่อไกด์ให้

เดินมาไม่ไกลเท่าไหร่ ก็ถึงตีนภู เป็นภูเขาหินปูนไม่สูงเท่าไหร่ได้ออกกำลังปีนภูนิดหน่อย ไม่ถึงกับยากมาก แนะนำให้ใส่รองเท้าผ้าใบมาละกัน จะได้กระฉับกระเฉงหน่อย ไปเร็วๆหน่อยก็ดี เผื่อช่วงไหนคนมาเที่ยวเยอะ เดี๋ยวข้างบนจะไม่มีที่ยืน ส่วนวันที่เราไปเป็นวันธรรมดาคนเลยไม่เท่าไหร่ โชคดีที่เราขึ้นมาทันเวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ส่วนทะเลหมอกก็สวยอลังการมาก

เราใช้เวลาอยู่บนภูซักพัก ถ่ายรูปเช็คอินอวดรูปลงโซเชี่ยลเสร็จก็ค่อยๆกลับลงจากภู พอลงมาข้างล่างหมอกมันฟุ้งขาวไปหมดแทบไม่เห็นวิวเลย เดินเล่นต่อซักแปบ แวะกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขาเป็นมื้อเช้าด้วย

ถึงเวลาต้องกลับแล้ว ถึงจะอยากอยู่ต่อก็เถอะ ยังเหลือกิจกรรมที่อยากทำอีก คือ เดินป่า เดินถ้ำ ไว้มีโอกาสจะกลับมาอีกแน่นอน

สรุปค่าใช้จ่ายสำหรับ 2 วัน 1 คืน

ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ วันละ 300 บาท (มัดจำ 1500)
เติมน้ำมันปั้มหลอด ลิตรละ 40 บาท
ค่าโฮมสเตย์ คนละ 300 บาท รวมอาหารมื้อเย็น
ค่าก๋วยเตี๋ยว ขนม เครื่องดื่ม ประมาณ 300 บาท
ค่านำทางขึ้น ภูผาหมอก คนละ 100 บาท

ติดต่อโฮมสเตย์ : พี่ศรชัย0806775794 หรือ FB :CBT BAAN JA BO

ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ : FB :KTY Motorbike0882526778, 0899998521

ใครอยากสัมผัสอากาศหนาวๆ ก็ลองมาเที่ยวที่นี่ได้ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน มาลองนอนโฮมสเตย์ ใช้ชีวิตเรียบง่าย กินง่ายอยู่ง่ายแบบชาวเขา นอกจากโฮมสเตย์แล้ว ลานกางเต็นท์หรือจะเป็นกระท่อมมูเซอเค้าก็มีนะ ใครสะดวกแบบไหนก็เลือกเอาเลย ทะเลหมอกที่นี่สวยอลังการมาก อยากจะกินนอนอยู่ที่นี่ซักเดือนนึง แต่ลางานขนาดนั้นสงสัยจะโดนให้ลาออกซะก่อนละมั้ง

เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ “จ่าโบ่” จริงๆแล้วออกเสียงแบบคำว่า “ปัดโธ่” บางคนออกเสียงแบบคำว่า “แรมโบ้” ซึ่งมันไม่ใช่ไง ออกเสียงกันให้ถูกล่ะ เอ๊ะ ! หรือมีเราคนเดียวที่ออกเสียงผิด

สุดท้ายนี้ขอฝากเพจท่องเที่ยวเล็กๆของผมหน่อยละกันครับ ติดตามการเดินทางของผมต่อได้ที่นี่เลย >get a wayจิ้มเลยฮะ กดไลค์กดแชร์ให้ด้วย หวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมงานกับ Traveloka อีกต่อๆไปขอบคุณครับ

รับทราบข้อมูลใหม่ ๆ ตลอดเวลา
สมัครรับจดหมายข่าวของเรา เพื่อคำแนะนำการท่องเที่ยวและรูปแบบการใช้ชีวิตที่มากขึ้น พร้อมด้วยข้อเสนอที่น่าตื่นเต้น
สมัคร