Traveloka TH
27 Dec 2017 - 5 min read
เมื่ออุณหภูมิรอบกายเริ่มต่ำลง แต่ไม่เคยพาให้อุณหภูมิความอยากไปเที่ยวของเราต่ำตาม เราสองคนจึงเลือกออกเดินทางอีกครั้ง โดยครั้งนี้เราตั้งเป้าหมายว่า สถานที่ที่เราจะไปกันต้องมีองค์ประกอบดังนี้
เมื่อสมการ การท่องเที่ยวมาดังนี้ เราเลยจัดการหาข้อมูล จนไปตกลงปลงใจพร้อมกันที่ “เขาตะเคียนโง๊ะ” เป็นที่ตั้งต้นครับ ซึ่งเจ้าเขาตะเคียนโง๊ะนี้ จริงๆก็อยู่ในพื้นที่แห่งทะเลหมอก ที่คนนับหมื่น นับแสน เดินทางไปดูทะเลหมอกกัน นั่นคือ จังหวัดเพชรบูรณ์ นั่นเอง
ซึ่งการเดินทางของเรา ต้องขับรถจาก กรุงเทพฯ ประมาณเกือบ 6 ชั่วโมงด้วยกัน T^T แต่ไม่เป็นไร เพื่อจุดหมายของเรา ลุย!!!
ปล. สำหรับเพื่อนๆที่อาจจะมีเวลาน้อยกว่าเรา หรืออยากอิ่มเอมกับการท่องเที่ยวที่มากขึ้น อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการเดินทางไปที่นี่คือการนั่งเครื่องบินไปลงที่ จังหวัดพิษณุโลก และต่อรถไปครับ
สามารถเดินทางไปจองตั๋วเครื่องบินไปพิษณุโลกกับ Traveloka ได้ที่นี่!!
สำหรับทริป 2 วัน 1 คืน ของเรานี้ อาจจะไม่ได้เที่ยวแต่ละสถานที่มากมายนัก และก็มีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเยอะเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่เราไม่สามารถถ่ายทางช้างเผือกติดได้ เพราะไฟบนเขาตะเคียนโง๊ะค่อนข้างสว่างมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราสองคนไม่ได้เห็นทะเลหมอก เนื่องจากตอนเช้าลมแรงมาก ทำให้หมอกถูกพัดไปหมด หรือแม้แต่การที่ไปวัดผาซ่อนแก้วแล้ว แต่กำลังปิดปรับปรุง บูรณะ ทำให้ไม่สามารถถ่ายติดภาพองค์พระสวยๆมาให้เพื่อนๆชมกันได้ แต่ในมุมมองของเราสองคนเวลาออกไปเที่ยว
“อย่าเสียดายกับสิ่งที่คาดหวัง แต่ไม่ได้เจอ จงอิ่มเอมกับสิ่งที่เจอ อย่างไม่ได้คาดหวัง”
ตะเคียนโง๊ะ
เราสองคนขับรถกนจากกรุงเทพมหานครไปครับ ซึ่งจริงๆกะจะออกตั้งแต่เช้า เพื่อไปให้ถึงจุดหมายก่อนพระอาทิตย์ตก เผื่อจะมีเวลากางเต็นท์ ออกไปเที่ยวเล่นรอบๆเขาตะเคียนโง๊ะ แต่.......... ตื่นสาย!!! เลยได้ออกกันจริงๆประมาณ 11 โมง เลยใช้เวลาเดินทางไปกว่าจะถึงก็ล่อซะเย็นเลยทีเดียว
ตะเคียนโง๊ะ แม้จะเป็นจุดกางเต็นท์บนภูเขา แต่เราไม่ต้องใช้เวลาในการเดินเท้าขึ้นไปครับ เพราะถ้าเกิดเราโทรไปจองสถานที่สำหรับการกางเต็นท์ไว้ก่อน ทางเขาจะมีพื้นที่จอดรถด้านบนไว้รองรับเรียบร้อยครับ
จริงๆแล้วเราสองคนเตรียมเต็นท์ไปสำหรับทริปนี้ด้วย โดยการยืมเต็นท์มาจากรุ่นน้อง แต่……… มันเล็กไปทำให้นอนไม่ได้ เราเลยต้องไปจองเต็นท์กันใหม่
บริเวณตีนเขาตะเคียนโง๊ะ จะมีร้านขายของเยอะแยะมากมายครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องอดตายเลยถ้าไปที่นี่ แต่อาจจะปิดเร็วหน่อย (ประมาณ 6 โมงเย็น) แต่ถ้าหากต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนตัวอื่นๆ ให้แวะพวกร้านของชำ หรือ 7-11 ก่อนจะถึงที่หมาย เพราะบริเวณโดยรอบตีนเขาไม่มี 7-11 เลยครับ จะมีก็แต่ร้านขายของชำที่ชาวบ้านเปิดเท่านั้น
***ของไม่กระจอก ต้องบอกต่อ***
บนจุดบริการนักท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณกางเต็นท์ มีเบอร์ติดต่อสำหรับร้าน “หมูกระทะ” เดลิเวอรี่ด้วย!!! ซึ่งราคาก็ไม่แพงครับ มีชุดเล็กราคา 250 บาท และชุดใหญ่ ราคา 400 บาท ส่งถึงหน้าเต็นท์ พร้อมระบุเวลาได้ บอกเลยว่าเป็นสถานที่พักผ่อนที่ชิลดีจริงๆ
บนเขาตะเคียนโง๊ะจะมีจุดสุขาบริการ 2 จุดหลักๆด้วยกัน โดยจะมีห้องสุขา 3 ห้อง และห้องอาบน้ำ 1 ห้องในแต่ละจุด (แต่จริงๆแล้ว ห้องสุขาก็สามารถอาบน้ำได้นะครับ)
จริงๆถ้าจะให้ระบุช่วงเวลาแต่ละฤดูคงเป็นเรื่องยาก แต่เอาเป็นว่าถ้าใครอยากชมพระอาทิตย์ช่วงเวลาไหนสวยๆ ตอนโทรจองลองอ้อนพี่เจ้าหน้าที่ให้ล็อกเต็นท์ด้านที่ต้องการไว้นะครับ (ของเราสองคนได้ทางทิศตะวันตก ทำให้ตอนเช้าเราต้องเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นอีกฝั่งนึง)
มาถึง พี่ๆเจ้าหน้าที่ก็มาช่วยกางเต็นท์ ซึ่งค่าบริการก็แล้วแต่เราจะให้เลยครับ
ใช้เวลาไม่นาน เต็นท์ก็เสร็จแล้ว ทาดา
มาถึงแล้ว ตะเคียนโง๊ะ
ยังดีนะ มาทันได้ดูพระอาทิตย์ตกดินพอดีเลย
บรรยากาศยามเย็น บวกเข้ากับทิวภูเขา ดูเป็นบรรยากาศที่สวยงามมากๆเลย
หากเพื่อนๆคนไหน อยากลงไปหาของกินขึ้นไปเป็นอาหารเย็นบนตะเคียนโง๊ะ
สามารถโดยสารรถที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้ (ไม่มีค่าบริการสำหรับผู้ที่ไปกางเต็นท์ข้างบนนะครับ)
แต่หากใครไม่อยากลงจากเขาแล้ว ก็สามารถสั่งหมูกระทะมาปิ้งกิน พร้อมบรรยากาศเย็นๆ สบายๆได้เลย
นี่คือหมูกระทะชุดเล็ก ราคา 250 บาท เราสองคนกินกันนี่เรียกว่าอิ่มพุงกางกันไปเลย
สภาพผู้สนุกสนานกับการเป็นแม่ครัว
หลังจากกินอิ่มกันแล้ว ก็ได้เวลาเดินหามุมถ่ายดาวสวยๆ
แต่น่าเสียดายที่แสงไฟค่อนข้างเยอะ ขบวนการล่าทางช้างเผือกของเราเลยเป็นอันต้องพับไปในทริปนี้
ก็ถือว่าไม่ขี้เหร่เลย ที่ได้ดูดาวเต็มฟ้า แม้จะมองไม่เห็นพี่ช้างก็ตาม
เมื่อยามเช้ามาถึง 05:30 น. ก็เป็นเวลาตื่นนอนเพื่อเตรียมตัวไปถ่ายรูปกัน
ซึ่งบอกเลยว่าอากาศ.......
หนาวจริงๆ.........
ซึ่งสักพัก ความหนาวก็หายไป กลายเป็นความประทับใจมาทดแทน
หลังจากพระอาทิตย์เริ่มลอยสูงขึ้น ก็หมดเวลาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
จริงๆควรจะเป็นช่วงเวลาที่ได้ถ่ายทะเลหมอก...... แต่วันที่เราไปกัน
ลมพัดแรงมากซะจนไม่มีทะเลหมอกมาให้เห็น T^T แต่ก็ไม่เป็นไรเนอะ ถือว่าได้รูปภาพในอีกบรรยากาศนึง
ก่อนจะลาจากเขาตะเคียนโง๊ะเพื่อไปจุดหมายต่อไป ก็อย่าลืมเก็บของ เก็บขยะกันให้ดีด้วยนะครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทุ่งกังหันลม
ระยะทางจากตะเคียนโง๊ะไปทุ่งกังหันลมนั้น ไม่ไกลเลยครับ เดินทางประมาณชั่วโมงกว่าๆก็ถึงแล้ว
หากใครขับรถไปจนถึงทุ่งกังหันลมเลย จะมีค่าบริการที่จอดรถที่คนละ 20 บาท เท่านั้น
ถึงแล้ว ทุ่งกังหันลมมมมมมมมม
แต่อยากจะบอกเลยว่า หนาวมากจีจี หนาวจนไม่สามารถอยู่ถ่ายได้นาน
แต่หากเพื่อนๆมีเวลา แนะนำเลยครับ จริงๆยังมีมุมสวยๆอีกมากมาย
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Pino Latte + วัดผาซ่อนแก้ว
หลังจากเดินทางลงจากทุ่งกังหันลม เราก็ชิลไปเรื่อยๆ ประมาณอีกเกือบๆชั่วโมงก็ถึงที่หมาย
จริงๆร้าน Pino Latte เป็นร้านที่บรรยากาศดีมากกกกกกกกกกก ตั้งอยู่บนภูเขา สามารถนั่งจิบกาแฟ ถ่ายรูปชิคๆ แบบห้อยขาได้สบายๆ แถมไปช่วงปลายปีแบบนี้ อากาศยังเป็นใจให้เดินถ่ายรูปกลางแดดเปรี้ยงๆ แบบได้รูปปังๆอีกตะหาก
ภายในร้านมีทั้งมุมของหนัก และของเบาให้เลือกสรร หากใครหิวโหยมาจากการเดินทาง ก็สามารถฝากท้องไว้กับร้านนี้ได้สบายๆ ส่วนใครอยากมาชิล ก็สามารถตรงดิ่งไปที่มุม เบเกอรี่ และเครื่องดื่มได้เลย
...........เอาเรื่องเลยล่ะค่ะคุณขา เราสองคนสั่งเค้ก 1 ชิ้น และกาแฟ 1 แก้ว ราคารวมจัดไปที่ 275 บาทไทย แต่สำหรับรสชาติ เค้กนี่ชอบมาก ให้ ผ่าน ผ่าน ผ่าน 3 ผ่านไปเลยค่ะ แต่สำหรับกาแฟยังเฉยๆ อยู่
นี่ไง เค้ก 1 ชิ้น กับกาแฟ 1 แก้ว ของเรา
(ราคา 275 บาท T^T )
นอกจากของกินที่ในร้านมีให้บริการ ยังมีมุมพักผ่อนสวยๆอีกมากมาย
ให้พี่ถ่ายรูป หรือนั่งคุยเล่นกับเพื่อนกัน
พอท้องอิ่ม ถ่ายอิ่ม เราก็เดินทางไปต่อกันที่วัดผาซ่อนแก้ว ที่มีองค์พระซ้อนที่ขึ้นชื่อว่าสวยสุดๆ
แต่....................องค์พระปิดปรับปรุง T^T เลยอดได้มุมสวยๆเลย
แต่ก็ไม่เป็นไรเนอะ ถือว่าได้มาทำบุญ ปิดทองฝังลูกนิมิตก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพกัน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การเดินทางในทริป เพชรบูรณ์ 2 วัน 1 คืน ของเราสองคนก็ปิดฉากลงด้วยเรื่องราวประมาณนี้ครับ ซึ่งหลายๆคนอาจจะมองว่า โห...ขับรถ ไป-กลับ ใช้เวลาครึ่งวัน ไม่คุ้มเลย แต่ก็อย่างที่บอกไปตามข้างต้นครับ เราสองคนมีเวลาเที่ยวกันน้อย ก็อยากใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
หากเพื่อนๆคนไหน ที่เป็นพนักงานประจำ แต่อยากไปท่องเที่ยว คุณต้องสลัดสิ่งที่มองดูเหมือนเป็นข้ออ้างอย่างเช่น ไม่มีเวลาเลย โหเวลาแค่นี้ไปจะเที่ยวได้กี่ที่ จะคุ้มหรอ............ ลองครับ ลองออกไปดู ออกไปเปิดโลกในอีด้านที่คุณไม่เคยลอง แล้วคุณจะรู้ ว่าจริงๆแล้วสถานที่ที่คุณอยากไป แต่ยังไม่ได้ไป มันไม่มีอะไรแบบที่คุณคิด หรือเพียงแค่คุณยังไม่เคยออกไปมองมัน....... =)
ยังไงเราสองคนก็ต้องขอบคุณที่ติดตามรีวิวในครั้งนี้นะครับ หากครั้งต่อๆไปมีโอกาส เราจะมารีวิวทริปต่อๆไปให้ได้รับชมกันนะ หากชื่นชอบในการเดินทางของเราสองคน ฝากติดตามที่ “The Planners เที่ยว กับ แฟน”
FB Page: https://www.facebook.com/theplannersbytsst/
อย่าลืมนะครับ!!! เราสนับสนุนให้ทุกๆคน ออก ไป เที่ยว!!! (โดยเฉพาะกับแฟน 55555+)