0

Traveloka TH

06 Dec 2018 - 5 min read

พาไปเยือนย่านเก่า ที่เที่ยวกรุงเทพ กินช้อปถ่ายรูปครบได้ใน 1 วัน

ใครที่คิดว่าถิ่นเก่าแก่อย่างแขวงบูรพาภิรมย์จะมีแต่ร้านเอ้าท์ๆ เชยๆ ที่ไร้เสน่ห์เห็นทีจะต้องคิดใหม่กันซะแล้วละครับ เพราะวันนี้เราจะพาเพื่อนๆมาเดินลัดเลาะลอดรั้วเดินพิสูจน์ พร้อมช้อป-ชม-ชิม ย่านเก่าที่เต็มไปด้วยความเก๋าที่มีมนตร์ขลังของบรรยากาศวินเทจเหมือนย้อนเวลากลับไปสัก 50 ปี รับรองว่ามาเดินเที่ยวที่ย่านนี้แค่วันเดียวคุณจะได้อรรถรสครบครันซะยิ่งกว่าวันไหนๆ ที่เคยไปมาแน่นอนครับ

วันนี้เราขอเริ่มต้นทริปกรุงเทพย่านเมืองเก่าด้วยการทานมื้อกลางวันที่ร้านข้าวหน้าไก่ในตำนานอย่าง "ข้าวหน้าไก่ห้าแยก (ห้องอาหารพูนเลิศ)" หรือที่คนรุ่นก่อนติดปากเรียกันว่า "ข้าวหน้าไก่เหลาะงาทิ้น" ร้านนี้ตั้งอยู่ตรงถนนห้าแยกพลับพลาไชย เปิดให้บริการมานานนับ 100 ปี ทางร้านเริ่มต้นมาจากการหาบข้าวหน้าไก่ใส่ใบตองเดินขายเป่านกหวีดเรียกลูกค้าในพระนคร จนคนทั่วไปร่ำลือถึงรสชาติและความอร่อยแบบต้นตำรับของข้าวหน้าไก่จริงๆ กระทั่งปัจจุบัน "ข้าวหน้าไก่ห้าแยก" ได้ขยับขยายมีร้านใหญ่โต สวยงาม และขยายสาขาออกไปทั่วเมือง ข้าวหน้าไก่ของที่นี่เค้าคัดสรรเนื้อไก่ส่วนสะโพกอย่างดีมาเป็นวัตถุดิบ เพราะเนื้อตรงส่วนนี้จะนุ่มไม่เหนียวจนเกินไป ส่วนน้ำราดก็เหนียวเข้มข้นกำลังดีมีกลิ่นหอมของเครื่องปรุงครบรส แอบกระซิบว่าถ้าใส่น้ำส้มสายชูลงไปสักหน่อยจะอร่อยกว่าปกติเป็นสองเท่านะครับ นอกจากเมนูขึ้นชื่อนี้แล้วทางร้านยังมีอาหารตามสั่งอีกมากมาย เช่น โกยซีหมี่ ข้าวเหนียวหมูแดง ผัดซีอิ๊วเนื้อ ผัดกะเพรา บะหมี่หน้าไก่ ไว้ต้อนรับเราอีกด้วย เราใช้เวลากับอาหารตรงหน้าไม่นานนัก ก็ลุกออกจากร้านเพื่อเดินมาช้อปปิ้งที่ร้านแผ่นเสียงขนาดใหญ่ที่ถัดมาอีกไม่ไกลจากถนนห้าแยกแถวๆ สี่แยกโรงพยาบาลกลางเขตป้อมปราบ

จุดมุ่งหมายของเราก็คือร้านแผ่นเสียง M - Tanakorn Records ร้านที่นักสะสมแผ่นทุกคนต้องรู้จัก เพราะร้านนี้เค้าจำหน่ายทั้งแผ่นเพลงไทยและเพลงสากล มีแผ่นเสียงใหม่-เก่า ให้เราเดินเลือกนับหมื่นๆแผ่น นอกจากคุณเอ็มเจ้าของร้านจะใจดีจำหน่ายแผ่นราคาไม่แพงแล้ว บรรยากาศของร้านนี้ก็อบอวลไปด้วยความเป็นมิตร มีทั้งลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติ เดินทางมาตามหาแผ่นในฝันกันอย่างสนุกสนาน วันนี้เราเองก็ได้แผ่นหายากชุด Bad Girls ของ Donna Summer และชุด Physical ของ Olivia Newton - John ติดมือกลับมาด้วย แหม...มาร้านนี้ทีไรเป็นต้องได้ของติดมือกลับบ้านทุกทีซิน่า!

ถัดจากร้านขายแผ่นเสียงมาอีกไม่ไกลนัก เราก็เดินชมวิวมาเรื่อยๆจนถึงถนนจักรเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ ก็มาสะดุดตากับร้าน "ร่มฟ้าไทย" ร้านขายร่มที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูงสุดเมื่อหลายสิบปีก่อน ร้านนี้มีอายุอานามกว่า 100 ปีแล้ว เดิมทีเป็นร้านซ่อมร่มเล็กๆในนามว่า "เซี่ยงไถ่" โดยมีนายสี่ แซ่กอง เป็นผู้ก่อตั้งร้านนี้ ต่อมาทายาทรุ่นที่สองก็เริ่มนำร่มจากประเทศยุโรปและญี่ปุ่นเข้ามาวางขายในร้านจนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทายาทรุ่นที่สามของตระกูลจึงเริ่มขยับขยายเปิดเป็นบริษัทร่มฟ้าไทยมีโรงงานรับจ้างผลิตร่มเอง สามารถส่งออกร่มไทยไปจำหน่ายยังต่างประเทศอีกด้วย เก๋มั้ยล่ะ? ปัจจุบันนี้ร้านร่มฟ้าไทยยังมีร่มวินเทจรูปทรงสวยๆคุณภาพดีติดร้านไว้ให้ลูกค้าที่โหยหาอดีตมาเลือกซื้อกันได้จนพอใจ ร่มบางคันมีอายุถึง 60 - 70 ปีก็ยังมีให้เห็น ใครอยากมาช้อปร่มร้านนี้ต้องมาเร็วหน่อยนะครับ เพราะร้านเขาเปิดขายไปจนถึงสี - ห้าโมงกว่าๆก็ปิดร้านกลับบ้านกันไปแล้ว โดยเฉพาะวันอาทิตย์ยิ่งปิดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก

ออกจากร้านร่มฟ้าไทยก็มุ่งหน้าไปแถวห้างสรรพสินค้า ดิโอล์ดสยาม พลาซ่า ที่มีสินค้าตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านขายอาวุธปืน แต่ที่เรามาเพราะจุดมุ่งหมายเดียวคือขนมไทยที่มีขายอยู่ในลานเฟื่องนคร เชื่อว่าคนที่ชื่นชอบอาหารไทย ขนมไทย ต้องเคยมาเยือนลานเฟื่องนครใน ดิโอล์ด สยามแห่งนี้กันแล้วทั้งนั้น ภายในบริเวณนี้เต็มไปด้วยอาหารและขนมที่หาทานยาก อย่าง ลูกชุบ จ่ามุงกุฎ ข้าวเกรียบปากหม้อ สาคู ขนมเบื้อง เมี่ยงคำ ทองหยิบ ทองหยอด ลอดช่อง โอ้! สาธยายไม่หมดหรอกครับ ต้องมาชิมกันเอง แต่ถ้าน้ำหนักขึ้นก็อย่ามาโทษกันนะครับ ...

เดินออกมาฝั่งตรงข้ามก็จะเจอห้างสรรพสินค้าที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประเทศไทยอย่างห้าง "ไนติงเกล - โอลิมปิค" ห้างนี้เขาเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2473 นับนิ้วมาจนถึงปัจจุบัน "ไนติงเกล - โอลิมปิค" ก็จะมีอายุครบ 88 ปีเข้าไปแล้วซินะ! นอกจากความขลังของตัวอาคารแล้ว สินค้าที่มีอยู่ในห้างทั้งเครื่องสำอาง เครื่องเขียน เคื่องกีฬา เครื่องดนตรี เสื้อผ้า เครื่องประดับ รวมไปถึงหุ่นโชว์เสื้อต่างประเทศที่สวย คลาสสิค และมีเอกลักษณ์ซึ่งยินเรียงรายอยู่รอบๆห้างนั้น มันทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังเดินข้ามสู่ประตูแห่งกาลเวลามาในยุค '70 จริงๆ แต่แอบกระซิบนิดนึงว่าที่ห้างนี้เข้าห้ามถ่ายรูปด้านในนะครับ ใครที่อยากถ่ายภาพออกมายืนถ่ายนอกห้างน่าจะสะดวกกว่าเยอะเลยครับ

เดินข้ามฝากถนนมาอีกแค่อึดใจ เราก็จะเจอกับสถาบันการศึกษาที่สำคัญอย่าง "วิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์" ถนนตรีเพชร ซึ่งที่นี่เป็นสถาบันที่ทรงคุณค่ามีอายุเกินกว่าร้อยปี ผลิตบุคคลากรที่มีฝีมือและมีชื่อเสียงทางด้านศิลปะมาแล้วมากมาย เมื่อก่อนใช้ชื่อว่า "โรงเรียนเพาะช่าง" และมีการปรับเปลี่ยนชื่อที่ใช้เช่นปัจจุบัน "เพาะช่าง" มีหอศิลป์ที่อยู้ชั้นล่างของตึกภาควิชาออกแบบ ซึ่งมีการจัดแสดงงานศิลปะอยู่เรื่อยมา บุคคลภายนอกสามารถเข้าชมงานแสดงได้ทุกวันที่จัดแสดง

เดินต่อไปอีกใม่ไกลนักเราก็มาถึง "ตลาดดอกไม้สดปากคลองตลาด" ที่นี่เน้นขายดอกไม้สดเป็นหลัก และยังเป็นตลาดดอกไม้ที่ใหญ่ติดอันดับสี่ของโลกอีกด้วยนะครับ ไม่ว่าคุณต้องการดอกไม้สายพันธุ์ไหนจากแดนไกลหรือแดนใกล้ ปากคลองตลาดมีให้คุณเลือกซื้อได้ตลอดทั้งคืน แถมราคาดอกไม้ก็ถูกจนน่าตกใจ ใครที่คิดจะมาเดินเล่นๆเห็นทีจะต้องคิดใหม่ เพราะความสวยความสดของมวลดอกไม้มันช่างยั่วใจซะจริงๆ

เดินซื้อดอกไม้ได้ตามต้องการแล้ว เราก็เรียกตุ๊กตุ๊กจากปากคลองตลาดมาลงตรงสี่แยกเฉลิมกรุง เพื่อจะมาชิมอาหารเช้าชื่อดังอย่าง "ออน ล็อก หยุ่น" ร้านกาแฟ ขนมปัง ไส้กรอก ที่คนรุ่นโบร่ำโบราณต่างต้องมานัดสังสรรค์กิน ดื่ม กาแฟกันเป็นประจำ ร้านนี้มีเรื่องเล่าขานกันต่อๆ มา

เมื่อก่อนละแวก ออน ล็อก หยุ่น และโรงหนังเฉลิมกรุง คือแหล่งที่ดารา - นักแสดงสมทบ จะมานั่งมาเดินเตร็ดเตร่กันแน่นขนัด เพราะบริษัทผู้สร้าง ผู้กำกับ มักจะมาติดต่อพูดคุยกับนักแสดงรุ่นเก๋ากันที่ย่านนี้ เรียกได้ว่ามานั่งเล่นๆที่ออน ล็อก หยุ่น แป๊บๆ ก็ได้งานแบบปุ๊บปั๊บ!รับโชคกันไปถ้วนหน้า ฮ่าๆ... เอาล่ะเรามาว่าถึงอาหาร เครื่องดื่มในร้านนี้กันดีกว่า ถ้าใครมาถึงร้านก็ต้องสั่งเมนูเลื่องชื่อ ขนมปัง ไข่ดาว หมูแฮม เบคอน ไส้กรอก กุนเชียงทอด ขนมปังชุบไข่ กันไปแบบฟินๆ แอบกระซิบเลยว่าสิ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาดก็คือ ขนมปัง เนย น้ำตาล ซึ่งเราชอบแบบขนมปังไม่ปิ้ง แยกเนยสด น้ำตาลทรายละเอียดมาต่างหาก เวลาทานเราจะเอามีดปาดเนยสดๆลงบนขนมปังเนื้อนุ่มๆ แล้วโรยน้ำตาลเม้ดละเอียดหวานฉ่ำตัดกับรสเนยเค็มๆหอมๆ ทานเพลินจนหมดจานไม่รู้ตัว ของว่างอีกอย่างที่อยากแนะนำก็คือ ขนมปัง - สังขยา ตั้งแต่ทานสังขยามาเราว่าสังขยาที่นี่รสชาติดีที่สุด หอม หวานกำลังดี ที่สำคัญเค้าใชวัตถุดิบ ไข่ น้ำตาล กะทิ ที่คัดคุณภาพนำมากวนให้เข้ากันจนได้เนื้อสังขยาที่เข้มข้นแต่มีความละเมียดในเนื้อเดียวกัน ต่างจากสังขยาทั่วๆไปที่นิยมใช้แป้งเป็นหลักเพื่อลดต้นทุน ส่วนใครที่ชอบดื่มเครื่องชง อย่างกาแฟโบราณ ชาร้อน ชาเย็น วัลติน ไมโล ที่นี่เค้าก็มีเสิร์ฟจนคุณพอใจ ทานอาหารกันอิ่มแล้วเราก็ขอเดินย่อยด้วยการเดินเท้าอย่างช้าๆ เพื่อไปเก็บภาพที่ "วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร" หรือที่เรานิยมเรียกกันว่า "วัดสุทัศน์" ย่านบำรุงเมืองนั่นเอง

วัดนี้เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ที่มีอยู่เพียงไม่กี่วัดในประเทศไทย และภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดี และได้อัญเชิญ พระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ มาบรรจุที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนีอีกด้วย สิ่งที่เราควรทำเมื่อมาถึงวัดสุทัศน์ก็คือการไปกราบไหว้พระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ท่านเพื่อความเป็นสิริมงคล

และถ้าใครที่กลัวว่าจะยังมาไม่ถึงย่านเก่าที่แท้จริง เห็นทีจะต้องออกมาถ่ายรูปกับ "เสาชิงช้า" อย่างเราซะแล้วซิ... เพราะ "เสาชิงช้า" ถือเป็นจุดเช็คอินจุดสำคัญของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก นอกจากที่นี่จะป็นถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้า ประเพณีสำคัญทางศาสนาในสมัยอดีตกาลแล้ว เสาชิงช้า ยังมีความงดงามในตัวเองและกรมศิลปากรยังได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสาชิงช้าเป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ เมื่อปี 2492 อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วจะพลาดจุดเช็คอินจึดนี้ไปได้ยังไงละครับ

ออกจากเสาชิงช้า เราก็ขอทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยการโบกตุ๊กตุ๊กรถมหาเสน่ห์ของเมืองไทยไปต่อที่จุดหมายสุดท้ายสำหรับทริปนี้ นั่นก็คือ "วัดมังกรกมลาวาส" หรือ "วัดเล่งเน่งยี่" บนถนนเจริญกรุง 19 ที่เราๆคุ้นชินเรียกกันจนติดปากไปแล้วยังไงล่ะครับ สำหรับประวัติความเป็นมาของวัดนี้ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2414 ใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 8 ปี มีความงดงามของสถาปัตยกรรมคล้ายทางจีนตอนใต้แบบช่างแต้จิ๋ว ประตูทางเข้ามีเทวรูปเทพเจ้าในชุดนักรบจีนขนาดใหญ่ถึง 4 องค์ ส่วนพระประธานของวัดคือ พระโคตมพุทธเจ้า พระอมิตาภพุทธะ และ พระไภษัชคุรุพุทธะ ในทุกๆปีจะมีผู้ที่เชื่อกันว่าคนที่ดวงชง ดวงไม่ดี จะต้องมาทำพิธีไหว้สะเดาะเคราะห์กันที่นี่ เนื่องจากวัดมังกรมีเทพเจ้าประจำวัดที่สำคัญๆถึง 58 องค์ เช่น เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา เทพเจ้าแห่งโชคลาภ เทพเจ้าแห่งยา ซึ่งว่ากันว่าใครที่ได้มาไหว้พระที่วัดนี้ หากปีนั้นๆจะมีเรื่องราวในชีวิตไม่สู้ดี ก็จะผ่อนจากหนักให้เป็นเบาลงไปได้ อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ แต่ตัวเราเองก็เคยมาไหว้แก้ปีชงที่วัดนี้อยู่เหมือนกัน ทำแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะครับ...

และไหนๆ ก็มาถึงวัดมังกรแล้ว ถ้าไม่ปิดท้ายด้วยการกินข้าวแกงเจ๊กปุ๊ย (เจ๊เฉี่ย) ร้านข้าวแกงที่มีคนเข้าคิวต่อแถวยาวสุดๆ เห็นทีคืนนี้จะนอนไม่หลับแน่ๆ เอาเป็นว่าลุยเข้าไปต่อแถวกับเขาเลยดีกว่า ร้านข้าวแกงเจ๊กปุ๊ย นี่เปิดขายแบบไม่มีโต๊ะนั่งมายาวนานกว่า 60 ปีแล้วนะครับ ใครที่อยากมาลองทานก็ต้องมาช่วงเย็นๆสักหน่อย เพราะเขาเปิดขายประมาณสี่โมงกว่าๆเกือบๆห้าโมงนั่นแหละครับ อาหารที่ขายก็มีทั้ง ปีกไก่เหล้าแดง , หมูหวาน , ลูกชิ้นปลากรายใส่ฝัก , แกงกะหรี่เนื้อ , ผัดเผ็ดหน่อไม้ไก่ , ไข่พะโล้ และอีกหลายๆเมนู ส่วนใหญ่คนจะซื้อกลับไปทานที่บ้าน เพราะอย่างที่บอกว่าทางร้านไม่มีโต๊ะให้ลูกค้านั่งทานแบบเป็นเรื่องเป็นราว จะมีก็แค่เก้าอี้พลาสติกที่วางเรียงอยู่ตามแนวขอบฟุตบาทเพียงไม่กี่ตัว คนที่นั่งทานก็ต้องถือจานข้าวแกงทานไปหลบคนไป ได้อรรรสถแปลกตาตื่นใจดีเหมือนกัน รสชาติอาหารก็อร่อยใช้ได้ครับ มีเมนูให้เลือกเยอะดี ถ้าใครที่ชอบทานอาหารในบรรยากาศสนุกๆแบบนี้ก็มาชิมได้เลยตั้งแต่เย็นๆไปจนถึงสามทุ่ม

เป็นยังไงกันบ้างครับกับทริป "เยือนยลที่ย่านเก่า" ที่เราอาสาพาเที่ยวกับร้านค้าในตำนาน ณ ถิ่นดั้งเดิมที่หลายๆคนอาจจะเคยมองข้าม หวังว่ากลิ่นหอมของอาหารแต่ละเมนู เรื่องราวเกร็ดความรู้ที่สอดแทรกอยู่ในทริป จะยังพอมีเสน่ห์เย้ายวนเชิญชวนให้ทุกคนมาทำความรู้จักกับทุกเรื่องราวในย่านวินเทจที่ผมรักเหล่านี้ด้วยเช่นกันในวันข้างหน้า…

ปล.ที่เที่ยวกรุงเทพยังมีอีกเยอะ ใครที่ยังเที่ยวไม่พอและยังตามไปเที่ยวไม่ครบ บ้านไกลย่านเก่าที่ผมแนะนำก็สามารถจองที่พักในกรุงเทพใกล้ๆ ได้ จองกับ Traveloka มีที่พักกรุงเทพ ราคาประหยัดให้เลือกพักอยู่มาก

จองที่พักกรุงเทพกับ Traveloka

สามารถไปพูดคุยกันต่อได้ที่ เฟสบุ๊กเพจ Tuituitintin

รับทราบข้อมูลใหม่ ๆ ตลอดเวลา
สมัครรับจดหมายข่าวของเรา เพื่อคำแนะนำการท่องเที่ยวและรูปแบบการใช้ชีวิตที่มากขึ้น พร้อมด้วยข้อเสนอที่น่าตื่นเต้น
สมัคร