0

Traveloka TH

05 Mar 2019 - 5 min read

เที่ยวมัลดีฟ หลบไป ใช้ชีวิตติดหรู กับการชาร์ตแบตแบบหยุดเวลา สักครั้งในชีวิต

Maldives ดินแดนในฝันแสนโรแมนติก เพราะความสวยงามราวกับภาพวาดในจินตนาการ อันเป็นจุดหมายปลายทางที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปให้ได้สักครั้งของหลาย ๆ คน (หรือเกือบทุกคนเลยก็ว่าได้เนอะ) หลังจากเริ่มดำน้ำลึก (Scuba diving) มาได้สักพัก Maldives ซึ่งเคยเป็นหนึ่งใน Bucket List ที่อยู่ในหัวก็ผุดขึ้นมาในช่วงเวลาที่โบนัสออกพอดี๊พอดี ... ประจวบเหมาะกับทั้งโปรโมชั่นที่พักที่เคยแอบเล็ง ๆ ไว้ และโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินก็ช่างบังเอิญผ่านสายตาเข้ามาพอดิบพอดีด้วยเช่นกัน หลังจากเช็คทุกสิ่งอย่างจนครบทุกกระบวนท่าแล้ว แบบ save เงินทุกเม็ดเท่าที่ทำได้ ก็จบลงที่ว่า ตอนนี้แหละ ... มันใช่เลย

ทริปนี้เราตั้งใจบินเดี่ยวแม้ว่าค่าใช่จ่ายจะเพิ่มมาอีก 30% แต่คราวนี้อยากไปเปิดประสบการณ์ที่สุดแห่งการพักผ่อน ไปใช้ชีวิตทั้ง 4 วัน 3 คืน แบบใกล้ชิดธรรมชาติใน Concept “ Bare foot, No Phone – No Social” ที่แท้ทรู (ที่เคยได้ยินมาจะได้เอามาใช้จริง ๆ บ้างสักทีละ) ก็เลือกไปสัมผัสสวรรค์บนดินสุดฟินทั้งที ขอหยุดเวลาไว้กับตัวเอง และธรรมชาติให้ลึกซึ้งที่สุด ให้คุ้มกับทุกบาททุกสตางค์ (ที่ตัดใจจ่ายไป)

ทั้งหมดนี้เราได้โปรโมชั่นดี ๆ จากที่พัก Club Med Kani และตั๋วเครื่องบินจาก Traveloka ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดในทริปนี้จึงยังอยู่ใน Budget ที่ตั้งไว้ ยังแอบเหลือค่าทริปดำน้ำ Scuba diving ให้ได้สัมผัสโลกใต้ท้องทะเลที่สวยและสมบูรณ์ที่สุดในโลก แถมมี Pocket Money ไว้อีกนิดหน่อยให้ได้พอซื้อของฝากกลับมาด้วย

จองตั๋วเครื่องบินไปมัลดีฟส์ กับ Traveloka

ว่าแล้วเราจึงเริ่มจองที่พักล่วงหน้าก่อนเดินทางประมาณ 3 สัปดาห์ และก็ได้ราคาโปรโมชั่นของ Club Med Kani จาก Early Bird Booking ของ official website โดยตรง เพื่อเดินทางช่วงต้นปีถัดไปในเดือนมกราคม ส่วนเรื่องการเดินทาง เราจองตั๋วเครื่องบินกับ Traveloka แถมยังได้ส่วนลด on top เพิ่มอีกด้วย จองตั๋วเครื่องบินกับ Traveloka ได้ราคาดี ๆ ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวังเช่นเคย

Day 1 : Let’s go to Heaven

และแล้ววันนี้ที่รอคอยก็มาถึง ด้วยความตื่นเต้นสุด ๆ จึงมาถึงสนามบินก่อนเวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงครึ่ง Check In และ Load กระเป๋าแล้ว ก็เริ่ม Luxury Trip ใช้ชีวิตหรู ๆ กันเลย เริ่มที่เลาจน์ของสายการบิน Bangkok Airway กันก่อนเลย จะได้ใช้เวลาคอยเครื่องบินให้คุ้มค่าที่สุด ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไฟลท์ 09.20 น. ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง 35 นาที ถึงปลายทางสนามบิน Male’ เวลา 11.55 น. เนื่องจากเวลาที่มาเล่ช้ากว่าเวลาในเมืองไทย 2 ชั่วโมง ตรงตามเวลาในตารางบินเป๊ะ

พอเครื่องลงจอดที่สนามบิน Male’ เรียบร้อยแล้ว ออกจากประตูมาก็เจอกับพนักงานของ Club Med Kani ที่มาชูป้ายชื่อรอรับอยู่ทันที พนักงานพาไปยังท่าเทียบเรือ Boat transfer ของทางรีสอร์ทที่อยู่หน้าสนามบิน ซึ่งท่าเรือนี้ใช้ร่วมกับรีสอร์ทอื่นอีกประมาณ 3 - 4 แห่ง แค่ลากกระเป๋าเดินทางข้ามถนนหน้าสนามบินมาไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงแล้ว

ทันทีที่ก้าวออกจากเขตสนามบินก็ได้ Wow กันเลย เพราะวิวท้องฟ้าสีฟ้าสดใส กับน้ำทะเลลึกสุดใจแต่น้ำใสปิ๊งตรงหน้า ที่ทำให้สตั้นท์จนแอบลืมก้าวเท้าข้ามถนนตามพนักงานกันไปเลย

ที่ท่าเรือมีเลานจ์รับรองพร้อมอาหารว่างและ welcome drink ให้บริการระหว่างรอเรือ และผู้โดยสารท่านอื่น รอเรืออยู่ได้ประมาณ 15 นาที พนักงานก็มาแจ้งให้ทราบว่าเรือพร้อมออกเดินทางแล้ว เราโชคดีมากที่เรือทั้งลำมีเราเป็นผู้โดยสารคนเดียวเลย เที่ยววันธรรมดามันก็ดีงาม และ Exclusive สุด ๆประมาณนี้แหละ

แอบเสียดายอยู่นิด ๆ เหมือนกันว่ามา Maldives ทั้งที แต่ไม่ได้ใช้บริการ Seaplane transfer ที่เป็นไฮไลท์ของ Maldives ก็นะแค่นี้ถ้าไม่ได้โปรโมชั่นทั้งที่พักจาก Club Med และตั๋วเครื่องบินจาก Traveloka ก็คงจะเกิน Budget ไปแล้ว แถมยังจะต้องเผื่อค่า Scuba diving ไปดำน้ำกับฉลามวาฬ และ Manta Rays อีก เอาน่า ... เท่านี้ก็ฟินแย่แล้ว

Club Med Kani ตั้งอยู่ใน North Male’ Atoll ห่างจากสนามบิน ประมาณ 20 km ใช้เวลาเดินทางโดย Speedboat เพียง 30 นาที ชมฟ้ามองท้องทะเลสีครามไปเพลิน ๆ ผ่านรีสอร์ทแบบบังกะโลบนน้ำ 3 – 4 แห่งที่พอมองเห็น แค่พักเดียว Speedboat ก็เตรียมเทียบท่าที่ Club Med Kani แล้ว

พอเท้าแตะท่าเรือปุ๊บพนักงานก็เดินเข้ามาทักทายอย่างสุภาพ และเป็นกันเอง ก่อนพาเราไป Check In ที่ Club Lounge ของ Overwater Suite บังกะโลเหนือมหาสมุทรที่แยกตัวไปอยู่สุดอีกฝั่งนึงของ Atoll เพื่อความ Private และ Exclusive อย่างแท้ทรู

ระหว่าที่เดินตามพนักงาน เรียกว่าแทบจะไม่ได้มองทางเลย เพราะสายตามัวแต่ อึ้ง ... ตะลึงงันอยู่กับทัศนียภาพของท้องฟ้าสีฟ้าใส หาดทรายสีขาว ๆ ที่ดูนุ่มละมุนแม้เพียงสัมผัสด้วยสายตา น้ำทะเลใสกริ๊งแบบที่มองเห็นผืนทรายด้านล่างชัดจนคาดการณ์ความลึกของทะเลด้วยตาเปล่าไม่ได้ ทิวต้นมะพร้าวน้อยใหญ่ที่เรียงรายกระจัดกระจายเป็นฉากหน้าที่ช่วยกรองแสงแดด และป้องกันละอองทรายจากสายลมเย็น ๆ ภาพที่เห็นตรงหน้ามันช่างน่าประทับใจ ตราตรึงสายตาจนเหมือนหยุดเวลาไว้ที่เสี้ยวนาทีนี้ตั้งแต่ครั้งแรกเห็นทีเลยทีเดียว กับทัศนียภาพสวย ๆ ของ Maldives

ตอนหาข้อมูลก่อนเดินทางรูป Maldives ที่เห็นว่าสวยมากแล้ว แต่เมื่อได้มาเห็นด้วยสายตาตัวเองจริง ๆ คือ มันคือใช่เลย !!! รูปที่เคยเห็นผ่านหน้าจอนั้นไม่ได้ผ่านการตกแต่งแม้แต่น้อย แถมสายลมที่ปะทะตัวและหน้า ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันความจริงว่าภาพที่เห็นตรงหน้า มันดีงามและฟินกว่าที่เคยจินตนาการไม่รู้กี่พันเท่า ณ ตอนนี้พูดเลยว่าไม่เสียใจกับค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปเลย

แอบกระซิบนิดนึงว่าใครที่กังวลเรื่องภาษา ไม่มั่นใจในภาษาอังกฤษของตัวเอง หมดห่วงได้เลย เพราะที่ Club Med Kani มีพนักงานที่พูดได้หลากหลายภาษา เรียกว่าเกือบทุกภาษาหลัก ๆ บนโลกใบนี้เลย รวมทั้งภาษาไทยด้วยเช่นกัน พนักงานบางคนก็เป็นคนไทยด้วยนะ ฉะนั้นแม้ภาษาไม่ได้ ก็มาเยือนสวรรค์บนทะเลแห่งนี้สบาย ๆ เลย

เพื่อฟินกับความ Extremely - Exclusive Luxury ให้สุด เราจึงเลือกพักห้องพักที่เป็นไฮไลท์ฮอตฮิตอย่าง Overwater Suite กับกระท่อมไม้หลังไม่เล็ก ที่ตั้งอยู่เหนือท้องทะเลกว้างสุดสายตา สามารถมองวิวทะเลสีเทอร์ควอยซ์สุดสวยแบบพาราโนรามาทุกทิศทาง ได้จากทุกพื้นที่ในบังกะโลแม้แต่จากในห้องน้ำกันเลยทีเดียว ทั้งเงียบสงบ เป็นส่วนตัว และยังสามารถลงเล่นน้ำทะเลได้โดยตรงจากห้องพักของตัวเองได้เลยด้วย

ที่ Club Lounge ของ Overwater Suite พนักงานนำ Welcome drink และ Snack มาเสิร์ฟ และขอผูกริบบิ้นสีน้ำเงินสดสกรีนลาย Club Med Kani สีขาวไว้ที่ข้อมือ เพื่อเป็นการระบุประเภทห้องพัก และ package ของแขกที่มาพักให้พนักงานในรีสอร์ทสามารถให้บริการเราได้อย่างถูกต้องทั่วถึงตลอดระยะเวลาที่อยู่ใน Club Med Kani แล้วพนักงานก็คำอธิบายเรื่องห้องพัก การบริการ และ facilities ต่าง ๆ ของรีสอร์ท ยาว .... มากเกือบ 15 นาที ฟังทันบ้างไม่ทันบ้าง แถมข้องมูลเยอะจนจำไม่ไหว แต่ไม่เป็นไร เพราะทางรีสอร์ทมีเอกสารรายละเอียดให้ด้วยหลังอธิบายจบ และสงสัยอะไรก็สามารถสอบถามพนักงานทุกคนที่เจอได้เลย

สำหรับที่พัก Club Med Kani เป็นรีสอร์ท 4 ดาวที่ให้บริการแบบ All Inclusive นั่นคือราคาห้องพักได้รวมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว ตั้งแต่ค่าห้องพัก บริการ Airport to Resort Transfer ทั้งไปและกลับ ด้วย Speedboat อาหาร 5 มื้อ เช้า สาย กลางวัน บ่าย เย็น จากทั้ง 3 ห้องอาหารที่สลับสับเปลี่ยนหมุนวนกันให้บริการ รวมถึงของว่างและ Afternoon Tea ที่ Club Lounge ไปจนถึงเครื่องดื่มทุกรายการทั้ง Alcohol และ Non – Alcohol ตลอดจนกิจกรรมทุกชนิดบนรีสอร์ท ซึ่งมีให้เลือกเยอะมากมาย แบบที่ใช้เวลา 4 วัน 3 คืนไม่น่าจะพอ

และแล้วก็ได้เวลาเข้าห้องพักกันแล้ว ระหว่างทางเดินบนสะพานไม้สุดชิคไปยังห้องพักนั้น เราก็สามารถชมสัตว์น้ำที่อยู่ตามธรรมชาติแบบใกล้ชิด เพียงทอดสายตาไปยังผืนน้ำทะเลใส พื้นทรายขาวด้านล่างสะพานไม้ตลอดทาง ก็จะเห็นเจ้า baby shark และ baby Rays ตัวน้อยอยู่กระจัดกระจายตลอดระยะทางจนไปถึงหน้าห้องพักเลยทีเดียว เรียกว่าได้สัมผัสปอนุบาลสัตว์ทะเลตัวน้อยอย่างใกล้ชิดกว่าในอควาเรียมเลยทีเดียว เพราะถ้ากระโดดลงสะพานไปก็ได้สัมผัสแนบชิดไม่ว่าจะเป็นจ้าฉลามตัวน้อย หรือเจ้าปลากระเบนตัวเล็ก ถ้าพวกมันไม่ตกใจหนีไปซะก่อนนะ

มาดูภายในห้องพักกันบ้างดีกว่า ห้องพักแบบ Overwater Suite ขนาด 77 ตารางเมตรรวมพื้นที่ระเบียงเหนือมหาสมุทร พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครับ ทั้ง Espresso Machine , Breakfast on bed เสิร์ฟตรงถึงห้องพักตามเวลาที่เลือกได้เอง Welcome Champagne ไปจนถึงระเบียงเหนือมหาสมุทรและบันไดตรงลงสู่ท้องมหาสมุทรจากห้องพัก และห้องน้ำแบบ Sea View สุดปังที่มาพร้อมอ่างอาบน้ำริมผนังกระจก ให้ได้แช่น้ำอุ่น ๆ จิบ Welcome Champage พร้อมชมวิวพระอาทิตย์ตกสุดโรแมนติกไปได้พร้อม ๆ กัน

หลังจากเข้าห้องพัก ชื่นชมกับ Location และบรรยากาศสวย ๆ จากในห้องพักแสนสวยสุดฟิน จนพอใจแล้ว ก็หยิบเอกสารที่พนักงานให้มาตอน Check In ออกมาเริ่มวางแผน ว่าจะทำกิจกรรมอะไร ตอนไหนบ้าง เพราะหลายกิจกรรมบนเกาะ จำกัดจำนวนต่อรอบ โดยต้องไปลงชื่อเข้าร่วมกิจกรรม และที่สำคัญคือ First come first service มาก่อนได้ก่อน แม้ว่าจะได้รับ Priority ก่อนบ้างห้องพักแบบ Overwater Suite แต่บางกิจกรรมก็ไม่ได้ให้อภิสิทธิ์นะ โดยเฉพาะทริปดำน้ำตื้นครึ่งวัน ที่เปิดเพียงวันละ 2 รอบเท่านั้น และเป็นกิจกรรมที่ฮิตที่สุด และลิสต์คิวยาวที่สุด

ก็เริ่มศึกษารายละเอียด และวางแผนอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ได้เวลา Tea Time ตอนบ่าย 3 พอดี ที่ Club Lounge สุดชิคมีบริการชาหลากหลายชนิด และของว่างทั้งเครปร้อน เครปเย็น ไอศกรีม home made ช็อคโกแลต และเครื่องดื่มอีกนานาชนิด ที่ทำโชว์กันสด ๆ บนหาดทรายไว้ให้บริการ

ระหว่างทานของว่างพนักงานก็มาแจ้ง Theme ของ Dinner คืนนี้ และการแสดงต่าง ๆ ของรอบเย็นให้แขกได้ทราบกัน โดย Theme Dinner และการแสดงจะมีเปลี่ยนหมุนเวียนไปไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน ตลอด 4 วัน 3 คืนที่พักที่ Club Med Kani การแสดงไม่มีซ้ำกันเลยจริง ๆ แต่หากใครพลาดข้อมูลไป ทาง Club Med Kani ก็มีบอร์ดสำหรับแจ้งข้อมูลในแต่ละวันแสดงไว้ให้ไปหาดูกันได้ จะได้ไม่พลาดไฮไลท์ในทุก ๆ วัน โดย Theme สำหรับ Dinner คืนนี้คือ “White Wedding on the beach”

อิ่มท้องแล้วก็เข้าห้องพัก เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมพร้อมสำหรับเดินชายหาดเรียบร้อย ก่อนออกจากห้องก็ไม่ลืมคว้ากล้องมาด้วย แล้วก็ออกไปเดินสำรวจรอบ Atoll และถ่ายรูปวิสวย ๆ เก็บภาพบรรยากาศกันเลย

สำรวจรอบ Atoll จนทั่ว รวมทั้งแอบส่องรายการกิจกรรมต่าง ๆ บนเกาะไปด้วยเลย ก่อนมื้อเย็นก็เป็นเวลาของ Beach Champagne Party เล็ก ๆ บนชายหาดใกล้ ๆ Club Lounge ให้ได้จิบ Champagne ลิ้มรสไวน์ ชิล ๆ เคล้าเสียงดนตรีเบา ๆ และลมทะเลเย็น ๆ เป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนอาหารมื้อเย็น

Dinner ของที่นี่เป็น International Buffet สุดอลังการ เพราะนอกจากจะยกบุพเฟ่ต์ฉบับโรงแรม 5 ดาวทั้งอันมาไว้บนชายหาดแล้ว ไลน์บุฟเฟ่ต์ยังยาวจนสุดหาด แถมแต่ละ Island ก็เว่อร์วังสุด ๆ บางบูทถึงกับยกปลาทะเลตัวใหญ่เกือบเท่าเด็กตัวเป็น ๆ กางครีบโชว์อยู่ อิ่มเอมเปรมปรีย์กับดินเนอร์สุดหรูแสนโรแมนติกบนชายหาดไปแล้ว ก็สามารถขยับร่างกายกระเถิบไปอีกนิด กับ Beach bar สุดคึกคักกับ DJ และดนตรีแนว EDM ถือเป็นการย่อยอาหารมื้อเย็นไปด้วยในตัว

จนได้เวลา Say Goodbye แล้วก็ต้องจำใจอำลา beach party แนว ๆ ของค่ำคืนนี้ไปก่อน เพราะพรุ่งนี้เราจองทริปดำน้ำตื้นไว้ตอนช่วงเช้า ขอกลับไปนอนเอาแรงก่อนนะสำหรับวันแรก

Day 2 : Snorkling Trip

ในวันที่ 2 นี้เราเริ่มต้นวันด้วย อาหารเช้าแบบ Breakfast On Bed แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังท่าเทียบเรือเพื่อทำการทดสอบทักษะการว่ายน้ำ สำหรับออกไปท่องโลกใต้ทะเลของ Maldives กับทริปดำน้ำตื้นครึ่งวันของทางรีสอร์ทตามที่ได้วางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี

สำหรับทริปดำน้ำตื้นของ Club Med Kani มีให้บริการวันละ 2 รอบ คือรอบเช้า และรอบบ่าย ซึ่งขึ้นกับสภาพอากาศในแต่ละฤดูกาลด้วย โดยจะพาไปยังจุดดำน้ำตื้น 3 แห่ง ซึ่งอยู่ห่างกันไม่มากนัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 – 30 นาทีต่อที่ แม้ว่าแต่ละแห่งจะมีสภาพแวดล้อมทางทะเลค่อนข้างคล้ายกัน แต่ ๆ ละจุดก็จะมีกิมมิคแตกต่างกัน โดย Dive Master ท้องถิ่นที่พาเราไปดำน้ำจะคอยบอกว่าแต่ละจุดนั้นให้สังเกต หรือมองหาสัตว์ทะเลหายากตัวไหน แต่ถึงเวลาดำน้ำกันจริง ๆ แล้วจะได้เจอกับสัตว์ทะเลตัวไหนบ้าง อันนี้ขึ้นกับ ดวง ล้วน ๆ ดีนะที่ตั้งใจไปทำบุญมาก่อนเดินทางแล้ว เพราะรอบนี้เราเจอทั้ง เจ้า Manta Rays อันเป็น iconic ของ Maldives แม้จะอยู่ไกล ๆ ก็ตาม ฝูงเต่าทะเล และลูกฉลามดาวตัวไม่เล็กไม่ใหญ่

ช่วงบ่ายของวันที่ 2 เราใช้ชีวิตในรีสอร์ทแบบ “No shoe No Cellphone” ตามที่ตั้งใจ เพราะทั้งรีสอร์ทมีแต่หาดทราย สายลม และท้องทะเล ไม่รู้จะใส่รองเท้าให้ต้องใส่ ๆ ถอด ๆ ไปทำไมใช่มั้ยล่ะ

โดยตลอดช่วงบ่ายจนมืดค่ำ เราได้ใช้เวลากับตัวเอง และธรรมชาติสุดอลังการ ที่แสนเงียบสงบและเป็นส่วนตัว ได้ลองหัดเล่นกีฬาทางน้ำหลาย ๆ อย่างที่ไม่เคยเล่น ทั้งแล่นเรือใบ พายเรือคายัค และเล่น Windsurf ไปจนถึงฝึกยิงธนู และเรียนทำ Sushi นับเป็นการใช้ชิวิตอยู่กับตัวเองจริง ๆ ครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ทำให้ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเพิ่มขึ้นหลายอย่างทีเดียว ถือเป็นการศึกษาตนเองไปในตัว

หลังเสร็จกิจกรรมช่วงบ่าย ก็มาถึง Dinner & Party Time โดย Theme Dinner ของวันที่ 2 นี้ คือ Sport Day หลังจากอิ่มท้อง ก็ Party ต่อที่ Beach bar จนถึง 4 ทุ่มก่อนจะต้องจำใจจากลาไปพักผ่อนเอาแรงเผื่อไว้สำหรับทริปดำน้ำลึกวันพรุ่งนี้

Day 3 : Scuba Driving

วันที่ 3 อีกหนึ่งวันแห่งการรอคอย เพราะวันนี้คือวันที่เราจะได้ดำน้ำลึกที่ Maldives แล้วเราได้รู้แล้วว่าโลกใต้ทะเลลึกของ Maldives จะสวยงามน่าอัศจรรย์ขนาดไหน ก่อนอื่นเราต้องการ Test Dive ทดสอบทักษะการดำน้ำที่ท่าเรือของ Club Med Kani ก่อนเพื่อความปลอดภัย แล้วก็พร้อมออกเดินทางผจญโลกใต้มหาสมุทรของ Maldives กันแล้ว Let’s go …

สำหรับผู้ที่ต้องการดำน้ำแบบ Scuba ที่ Maldives ควรผ่านหลักสูตรดำน้ำลึกระดับ Advance Open Water เพราะจุดดำน้ำส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 10 - 30 เมตร แต่หากผ่านการดำน้ำเพียงหลักสูตร Open Water ก็สามารถดำน้ำที่ Maldives ได้เช่นกัน แต่ไม่สามารถลงดำน้ำในจุดที่ลึกกว่า 18 เมตรไม่ได้ และต้องมีบัตรดำน้ำ และ Log Book ติดตัวไปด้วยนะ อันนี้ห้ามลืมเด็ดขาดเลย

สำหรับทริปดำน้ำลึก ครั้งนี้เราได้ไปดำน้ำลึกทั้ถึง 3 จุด โดยมีไฮไลท์ของการ Scuba Diving ครั้งนี้อยู่ที่จุดดำน้ำซากอับปางของเรือ Maldives Victory นอกชายฝั่ง Hulule Airport อันมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของ Maldives จนได้รับสมญานามว่าเป็นหนึ่งในซากอับปางที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโลก

โดยในการดำน้ำลึกครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งที่ประทับใจที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะได้สัมผัสสัตว์ทะเลตัวเด็ด ๆ อย่างใกล้ชิด แบบจัดเต็มครบทุกรายการที่หวังไว้เลย ทั้ง ปลาไหล Moray, Motar Rays ตัว Big Size ขนาดเท่า ๆ Speed boat, และเจ้าฉลามวาฬขนาดใหญ่เท่าเรือประมงอีกด้วย

ส่วนใครที่ไม่ได้ดำน้ำลึก ก็สามารถใช้เวลาในวันที่ 3 ที่รีสอร์ทได้แบบเต็มวัน เพราะที่ Club Med Kani ยังมีกิจกรรมให้ทำแบบลิสต์รายการยาวเป็นหางว่าวกันเลย หรือสาย Indy ที่กำลังต้องการ Vitamin SEA ก็สามารถนั่งเอนกายบนหาดทราย ลงเล่นน้ำทะเล พร้อมรับชม และสัมผัสทัศนียภาพสุดปังที่หาที่ไหนไม่ได้ในสไตล์ Panorama 360 องศาได้ทั้งวันให้ฟินไปให้ถึงเซลล์ประสาทเลยก็ยังได้

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในฝันที่ Maldives ก็มาต่อกันกับราตรีอันยาวนานของค่ำคืนนี้ สนุกให้สุกเหวี่ยง กับ beach party แบบยาว ๆ กันไป ก็นะเราต้องใช้ Facilities ให้คุ้มใช่มั้ยล่ะ

Day 4 : ร่ำลา

และแล้ว ... วันนี้ก็มาถึง วันสุดท้ายบนเกาะสววรค์แห่งนี้ วันนี้แม้ว่าจะไม่ได้ตื่นเช้ามากนัก เพราะตื่นไม่ไหว สำหรับวันสุดท้ายนี้ เราเลือกจะดื่มด่ำ และซึมซับกับบรรยากาศของ Maldives ให้ได้มากที่สุด โดยเลือกใช้บริการ Breakfast on Bed อีกตามเคย และใช้เวลาทุกตารางเซนติเมตรของห้องพักให้คุ้มค่าจนวินาทีสุดท้าย ก่อนจะต้องกัดฟันเก็บของ แพ็คกระเป๋าสัมภาระ และ Check out เพื่อเดินทางกลับเมืองไทย เหลือเก็บไว้เพียงภาพถ่าย ประสบการณ์ และความทรงจำที่แสนสดงาม

ส่วนใครที่มี Maldives เป็นหนึ่งใน Bucket List ที่สักครั้งต้องมาสัมผัสให้ได้เช่นกันแล้วละก็ บอกเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาด มา Check In ที่ Maldives สักครั้ง แล้วจะได้รู้ว่า สวรรค์บนดินมีจริง ๆ นะที่ Maldives

รับทราบข้อมูลใหม่ ๆ ตลอดเวลา
สมัครรับจดหมายข่าวของเรา เพื่อคำแนะนำการท่องเที่ยวและรูปแบบการใช้ชีวิตที่มากขึ้น พร้อมด้วยข้อเสนอที่น่าตื่นเต้น
สมัคร